เจ็บกว่านี้มีอีกมะ...ผ่าคลอดหรือคลอดเอง มีอย่างอื่นให้เลือกไหมคะคุณหมอ แฮ่ :(
เห็นเลือดเป็นลม เห็นนมค่อยยังชั่ว ยกดื่มเลยสิคะ อย่าคิดมาก :) วันนี้มีสาระนะจ๊ะ แต่เริ่มด้วยความไร้สาระก่อนแล้วกัน เกี่ยวกับความขี้กลัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเลือด เข็ม มีด กรรไกร ทุกอย่างในมือหมอและพยาบาล คนใจมดอย่างข้าพเจ้าก็กลัวทุกสิ่งอย่าง แล้วผ่านมาได้ไง? หึหึ ก็เบือนหน้าหนีสิคะ จะให้วิ่งหนีก็ไม่ทันแล้ว อายเค้าด้วย ดังนั้น อีตอนฉีดยาหรือบริจาคเลือดมีเทคนิคง่ายๆ คือไม่เคยมองเข็มสักครั้ง เฉไฉมองซ้ายมองขวาไปค่ะ ถ้าเคสหนักๆ ก็ท่องนะโมๆเอา ซึ่งตอนท้องนี่ก็โดนไปหลายเข็มเหมือนกัน วัคซีนต่างๆ นานา กัดฟันท่องไว้ว่า "เพื่อลูกๆ" ศรีทนได้ค่ะ
เข็มที่เจ็บจี๊ดสุดๆ ขอยกให้ฉีดบาดทะยัก ฮืมมม...ใครบอกว่าเหมือนมดกัดๆ บ้าสิ มดทั้งรังเลย !!

แต่ทั้งหมดนั้นก็คงเป็นแค่เรื่องจิ๊บๆ เด็กๆ กล้วยๆ เมื่อเทียบกับตอนคลอด มนุษย์แม่ทุกคนคงรู้ดี ยกเว้นแม่อิชั้นค่ะ ผู้ผ่านสมรภูมิคลอดมาถึง 6 ท้อง หรือแม่ใครจะโชว์เหนือหลายท้องกว่านี้ก็ตามใจนะ แค่ 6 นี่ลูกก็ขอกราบแทบเท้าแล้วค่ะ เข้าเรื่องคลอดดีกว่า เรื่องนี้ก็ทำใจอยู่นาน 8 เดือนกว่า เพื่อนๆ ที่เคยคลอดลูกมาแล้วก็เชียร์ให้คลอดธรรมชาติ ..."ดีกว่านะแก เจ็บแป๊บๆ แผลหายเร็วกว่าด้วย"...ส่วนผ่าคลอด ..."ไม่ดีหรอก บล็อกหลังอ่ะ เจ็บนะเว้ย อยู่ไฟก็ไม่ได้ ต่อไปแกจะหนาวๆร้อนๆ เจ็บกระดูก"... โอ้ย โดนขู่ทางอ้อมสารพัด สำหรับคุณแม่มือใหม่ใจฝ่อ ใครจะว่าอะไรมาก็ได้แต่ทำหน้าซื่อๆ รับฟังไว้ก่อน เพราะเราไม่มีประสบการณ์ที่จะตอบโต้ได้ แต่เห็นหน้าซื่อๆ ก็แอบมาหาข้อมูลกับอากู๋ Google ทุกครั้งแหละ เดี๋ยวจะเอาข้อดีข้อเสียของการผ่าคลอดกับคลอดธรรมชาติมาเทียบกันให้ดู* แล้วแปะไว้ด้านล่างนะคะคุณๆ เผื่อจะมีประโยชน์กับคุณแม่ๆคนต่อไป
พอใกล้ถึงสัปดาห์ที่่จะคลอดจริงๆ (หมอนัดไว้หลังครับ 38 สัปดาห์) ก็ตัดสินใจผ่าคลอด เพราะก่อนหน้านี้เคยเปรยๆกับหมอแล้วว่า อยากคลอดธรรมชาติดู พูดไปก็หยิกตัวเองไปด้วย คือกลัวทั้งสองอย่าง และคุณหมอก็เหมือนช่วยตัดสินใจกลายๆว่า อย่าเลย อายุเยอะและเป็นท้องแรก หมอคิดว่าไม่น่าจะคลอดเองได้ แต่ถ้าคุณอายุเท่านี้และเคยคลอดลูกมาก่อน ก็ยังพอมีลุ้น เป็นอันว่าจบข่าวเรื่องคลอดเอง
มานั่งทบทวนอีกที ถ้าเลือกคลอดธรรมชาติ คิดดูว่า บ้านอยู่ลำลูกกาคลอง 6 ฝากท้องที่ รพ.วิภาวดี ถ้าปวดท้องกระทันหันขึ้นมา ไม่ได้มาถึงง่ายๆนะคะ เป็นเส้นทางที่ไม่ว่าจะมาจากไหนก็ติด ไม่ว่าจะสะพานใหม่ ดอนเมือง ม.เกษตร เลียบด่วนรามอินทรา ยกเว้นว่าลูกจะเลือกเกิดในวันหยุดราชการ ค่อยได้ลุ้นหน่อยว่าไม่ติดมาก แล้วถ้าลูกไม่เลือกล่ะ โหย...แม่กลัวจะได้ทำคลอดกับตำรวจจราจรแทนน่ะสิคะ งั้นผ่าแล้วกัน แพงกว่าเกือบหมื่น แต่คุณกำหนดวันได้ บางคนกำหนดฤกษ์คลอดเองด้วย แต่เสียใจค่ะแม่โมณาเจอหมอจอมเฮียบเข้าไป ท่านได้กล่าวไว้ตั้งแต่ฝากท้องวันแรกแล้วว่า ถ้าจะเอาฤกษ์คลอดให้ไปหาหมอคนอื่นจ้า แต่ยังใจดีให้เลือกได้แค่วันคลอด เฮ้อ เกลียดอิเพื่อนที่แนะนำหมอคนนี้ให้ตรูจริงๆ ...มันคงเป็นโชคชะตาใช่ไหมคะหมอที่เราได้เจอกัน เห่อๆ
พฤหัสบดีที่ 1 ก.ย. 2559 นัดขึ้นเขียง! เสียงเชียร์และกำลังใจในเฟซบุ๊กล้นหลาม ในชีวิตจริงก็มีแค่สามีและแม่ตามไปเฝ้าถึงหน้าห้อง โคตรจะตื่นเต้นเลยขอบอก ไม่เคยต้องถึงเลือดถึงกรรไกรเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ครั้งแรกและคิดว่าครั้งเดียวเหอะ เริ่มเจ็บตัวตั้งแต่การสวนท่อปัสสาวะเตรียมไว้ก่อนเข้าห้องคลอด ที่จำได้ติดตาคือโดนเข็นจากห้องนั้นไปห้องนี้ เปลี่ยนจากเตียงเข็นคันนี้เป็นคันนู้น อะไรเนี้ยงง ได้แต่นอนมองเพดานแล้วสวดมนต์ภาวนาเบาๆ จะพาตรูไปไหนคะเนี้ย
มาเจ็บอีกรอบตอนโดนบล็อกหลัง พยาบาลหรือหมอก็ไม่ทราบบอกให้งอตัวขดๆไว้ให้มากที่สุด ไม่พูดเปล่าเอามือมาช่วยกดตัวเราด้วย ฉีดล่ะนะ แล้วก็...จี๊ดดดดดด ฮึบๆ เจ็บโว้ย เข็มสุดท้ายแล้วใช่ม้ายยยยยลูกจ๋า สักพักคุณหมอที่ฝากท้องและเป็นหมอทำคลอดด้วยก็เดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม "เป็นไง" ทักทายอย่างอารมณ์ดี เราก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ สู้ตายค่ะหมอ
มาเจ็บอีกรอบตอนโดนบล็อกหลัง พยาบาลหรือหมอก็ไม่ทราบบอกให้งอตัวขดๆไว้ให้มากที่สุด ไม่พูดเปล่าเอามือมาช่วยกดตัวเราด้วย ฉีดล่ะนะ แล้วก็...จี๊ดดดดดด ฮึบๆ เจ็บโว้ย เข็มสุดท้ายแล้วใช่ม้ายยยยยลูกจ๋า สักพักคุณหมอที่ฝากท้องและเป็นหมอทำคลอดด้วยก็เดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม "เป็นไง" ทักทายอย่างอารมณ์ดี เราก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ สู้ตายค่ะหมอ
บรรยากาศในห้องผ่าคลอด โดยเฉพาะไฟบนเพดานที่นอนมองอย่างเคารพอยู่นั่น อย่างกับในหนังไซไฟ (Scwi-Fi) คือเป็นแป้นกลมๆ หลายอันฉายลงมาที่ตัวเราซึ่งเปลือยทั้งตัว มีแค่ผ้าคลุมตัวไว้ ทำให้คิดถึง มิลล่า โจโววิช ในหนัง The Fifth Element ขึ้นมาตะหงิดๆ (คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกว่างั้น หุหุ) โดนหมอและพยาบาลล้อมตัวหลายคนมาก แทคทีมกันทำงานอย่างแข็งขัน แถมด้วยคนที่ถ่ายวีดีโอ ที่เราสั่งไว้ (จนป่านนี้ยังไม่เคยเปิดดูเลย ไม่รู้จะสั่งทำไม) เสียดายที่หมอห้ามคุณพ่อโมณาเข้าห้องคลอดด้วย ท่านบอกว่า เกะกะ เดี๋ยวมาเป็นลมเป็นแล้ง ขี้เกียจดูแล ซะงั้น.. อดสนุกด้วยกันเลยเนาะพ่อ
หลังจากหมอเช็คแล้วว่า ช่วงล่างตั้งแต่ท้องลงไปจนถึงปลายเท้าไร้ความรู้สึก การผ่าตัดก็เริ่มขึ้น เราก็นอนหลับตาแต่หูยังได้ยินเสียงทุกอย่าง ถ้าลืมตาขึ้นก็จะเห็นแค่ผ้าที่เป็นฉากกั้นไว้ มองบนก็เห็นหน้าหมอ พยาบาล ก้มหน้าก้มตาทำอะไรกับหน้าท้องเราอยู่ ทุกคนไม่ได้มีความเครียดเลย เพราะคุณหมอจอมเฮียบชวนคุยตลอดการผ่าตัด บ้านอยู่ไหน ทำอะไร อย่างชิลมาก เครียดที่สุดก็คงตรูนี่แหละ แม้ว่าในห้องจะเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ เป็นเพลงเด็กซะด้วย มุ้งมิ้งมากเลย รพ.นี้
ในขณะที่ช่วงล่างไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่ก็รับรู้ถึงการใช้พลังงานบางอย่างกึกกักๆ ครืดคราดๆ อยู่บริเวณท้อง จินตนาการไปว่า กำลังถูกหั่น เฉือน เฉาะ อึ๋ยยย จะคิดทำไม แต่ก็ใช้เวลาไม่นาน สักพักหมอก็ตะโกนข้ามผ้ามาว่า ซาลาเปามาแล้ว แล้วเสียงร้องไห้ของทารกตัวน้อยก็ดังขึ้น อุแว๊ แว๊ แว๊... เสียงดังฟังชัดทุกท่วงทำนอง (เสียงแบบนี้จนถึงปัจจุบัน 555) พยาบาลขานเวลาคลอด 15.09 น. คุณหมออุ้มลูกมาให้ดูหน้า "นี่ไงซาลาเปา เอ้าดูซะแม่ เด็กผู้หญิงนะ" มองแทบไม่ทันเห็นหน้าแวบๆ แต่หัวใจก็พองโตอยากจะร้องไห้ พยาบาลอุ้มไปเช็ดตัวต่อ จากนั้นเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ก็ดังขึ้น หมอและพยาบาลเข้ามารายล้อมตัว พร้อมกับยื่นหน้าลูกเข้ามาแนบกับหน้าแม่ ช่างภาพถ่ายภาพรัวๆ จำไม่ได้แล้วว่าทุกคนพูดอะไรบ้าง แม่ได้เห็นหน้าลูกชัดๆแล้ว หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มมากลูก เราปลอดภัยแล้วนะ ได้เจอกันแล้ว ...สวัสดีจ้าน้องโมณาของแม่ ดีใจที่สุด สุดๆเลยลูก...
ในขณะที่ช่วงล่างไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่ก็รับรู้ถึงการใช้พลังงานบางอย่างกึกกักๆ ครืดคราดๆ อยู่บริเวณท้อง จินตนาการไปว่า กำลังถูกหั่น เฉือน เฉาะ อึ๋ยยย จะคิดทำไม แต่ก็ใช้เวลาไม่นาน สักพักหมอก็ตะโกนข้ามผ้ามาว่า ซาลาเปามาแล้ว แล้วเสียงร้องไห้ของทารกตัวน้อยก็ดังขึ้น อุแว๊ แว๊ แว๊... เสียงดังฟังชัดทุกท่วงทำนอง (เสียงแบบนี้จนถึงปัจจุบัน 555) พยาบาลขานเวลาคลอด 15.09 น. คุณหมออุ้มลูกมาให้ดูหน้า "นี่ไงซาลาเปา เอ้าดูซะแม่ เด็กผู้หญิงนะ" มองแทบไม่ทันเห็นหน้าแวบๆ แต่หัวใจก็พองโตอยากจะร้องไห้ พยาบาลอุ้มไปเช็ดตัวต่อ จากนั้นเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ก็ดังขึ้น หมอและพยาบาลเข้ามารายล้อมตัว พร้อมกับยื่นหน้าลูกเข้ามาแนบกับหน้าแม่ ช่างภาพถ่ายภาพรัวๆ จำไม่ได้แล้วว่าทุกคนพูดอะไรบ้าง แม่ได้เห็นหน้าลูกชัดๆแล้ว หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มมากลูก เราปลอดภัยแล้วนะ ได้เจอกันแล้ว ...สวัสดีจ้าน้องโมณาของแม่ ดีใจที่สุด สุดๆเลยลูก...
จากนั้นยังไงต่อไม่รู้ เหมือนจะถูกเข็นออกมาจากห้องคลอดไปห้องพักฟื้น แล้วก็หลับไป.... รู้สึกตัวตอนไหนจำไม่ได้แล้ว ก็มาอยู่ที่ห้องพักที่จองไว้ 4 วัน 3 คืน ตอนแรกก็ไม่เจ็บแผลเท่าไหร่ ยังแอบชมว่าคุณหมอเก่งจังเลย สบายๆ แต่พอคืนที่ 2 หรือ 3 นี่แหละ ยาที่ระงับการปวดเอาไว้หมดฤทธิ์แล้ว โอ้โห กระดิกตัวแทบไม่ได้เลยค่ะ นอนก็แทบไม่หลับ คืนแรกๆร้อนเหงื่อออก คืนหลังๆนี่หนาวจนตัวสั่น ต้องขอผ้าห่มเพิ่ม เค้าบอกให้เดินเยอะๆ แผลจะได้ไม่เป็นพังผืด โอ้ยตาย หายใจยังเจ็บเลย
แต่น้ำทิพย์ชโลมใจแม่ก็คือ "ลูก" นั่นเอง ซาลาเปาน้อยของแม่ น้ำหนัก 3,325 กรัม แก้มยุ้ยตามฉายาที่คุณหมอเรียก ปากนิดจมูกหน่อย หน้าเชิดๆนิดๆ น่าหยิกน่ากอด เป็นเด็กน้อยที่น่ารักที่สุดในจักรวาลของแม่ (จักรวาลส่วนตัว ไม่ได้เทียบกับใครนะ ขอบ้าเห่อลูกแป๊บ) ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนโบราณต้องห้ามพูดว่าน่ารักด้วย แถมยังต้องพูดว่า "น่าเกลียดน่าชัง" อีก ปากไม่ตรงกับใจเอาซะเลย
ระหว่างนอนพักฟื้นในห้อง พยาบาลจะเข็นลูกมาให้ฝึกดูดนมแม่เป็นระยะๆ ตั้งแต่ยังไม่มีน้ำนม เป็นการกระตุ้นและสานสายใยแม่ลูก รู้สึกอบอุ่นและเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของการเป็นแม่ โมณางับนมได้เก่งมาก แม้ว่าหัวนมจะใหญ่กว่าปากลูกหลายเท่า แรงดูดจากปากลูก ถึงจะเจ็บในช่วงแรก แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว เจ็บแค่นี้สบายมากลูก มองหน้าลูกแล้วก็หลงรักเธอเหลือเกิน ภูมิใจที่ภารกิจนี้เริ่มต้นด้วยดี ลูกสมบูรณ์แข็งแรง ครบ 32 ประการ เท่านี้แม่ก็ชื่นใจ
สำหรับคนที่ลังเลว่าจะคลอดแบบไหน ถามใจเธอดู ดีอย่าง เสียหลายอย่าง 555+ เอาที่สะดวกดีกว่า ก็ไม่เคยคลอดธรรมชาติด้วยสิ เลยไม่รู้ว่าอย่างไหนที่ดีกว่ากันแน่ แต่ที่แน่ๆ จากสภาพร่างกายตอนท้องจนถึงคลอด คิดว่าเราก็ 40 อัพแล้วขอคนเดียวพอค่ะ มันเหนื่อยใช่เล่น โดยเฉพาะแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกเองคนเดียว แบบไม่มีย่ายายมาช่วย ใช่ค่ะมันสุขใจ มันท้าทาย แต่เราก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีพอที่จะดูแลลูกให้ได้ดีด้วย อย่างที่เคยเขียนไว้บนเฟซบุ๊กว่า
"ลูกอิ่ม แต่แม่อด ไม่ดีแน่
ลูกยิ้ม แต่แม่แย่ ไม่ดีใหญ่
ลูกสุข แต่แม่ทุกข์ ไม่ดีไป
ลูกสบาย แม่สบาย ดีกว่าเอย"

ปล. ขอโทษสาวโสดทั้งหลายด้วยนะคะ ที่บทความนี้อาจแทงใจดำท่านได้ แต่ยังไงก็ขอให้เจอพ่อของลูกไวๆนะคะ เอาใจช่วย
-----------------------------------------------------------
*ข้อดีของการคลอดธรรมชาติ
- ฟื้นตัวเร็วกว่าผ่าคลอด (ใกล้เคียงที่เพื่อนบอก)
- การคลอดธรรมชาติจะมีการขับของเหลวออกจากปอดทารก ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาการหายใจ (อันนี้เพื่อนไม่ได้บอก แต่ฟังดูดีทีเดียว)
- ทารกจะได้รับเชื้อแบคทีเรียที่ดี ซึ่งอยู่ในช่องคลอดของแม่ ทำให้มีภูมิคุ้มกัน ไม่ป่วยบ่อย (ว้าวววๆ)
ข้อเสียของการคลอดธรรมชาติ ก็มีเหมือนกันนะ
- เสี่ยงต่อการยืดและฉีกขาดของเนื้อเยื่อในช่องคลอด (แอบสงสัย ถ้าไม่ขาดแล้วลูกจะหลุดออกมาเรอะ)
- ทารกจะได้รับเชื้อแบคทีเรียที่ดี ซึ่งอยู่ในช่องคลอดของแม่ ทำให้มีภูมิคุ้มกัน ไม่ป่วยบ่อย (ว้าวววๆ)
ข้อเสียของการคลอดธรรมชาติ ก็มีเหมือนกันนะ
- เสี่ยงต่อการยืดและฉีกขาดของเนื้อเยื่อในช่องคลอด (แอบสงสัย ถ้าไม่ขาดแล้วลูกจะหลุดออกมาเรอะ)
- เสี่ยงต่อการหย่อนยานของกล้ามเนื้ออุ้มเชิงกราน ที่ควบคุมปัสสาวะและการเคลื่อนไหวของลำไส้
- ท้องแรกอาจจะมีอาการเจ็บท้องมากและยาวนานช่วงใกล้คลอด (เหมือนในหนังแน่เลย บรื๊อออ)
- ทารกอาจได้รับบาดเจ็บ ถ้ามีการใช้เครื่องมือ เช่น คีม หรือ เครื่องดูดสูญญากาศช่วยคลอด (น่าสงสารเนอะ)
- กำหนดเวลาแน่นอนในการคลอดไม่ได้ อันนี้เติมเอง บทจะมาอาจจะเป็นตอนที่ไม่สะดวกต่อการเดินทางไปคลอดก็ได้ คงลุ้นกันน่าดู (ไม่นะ ฉันจะไม่คลอดบนรถแท็กซี่ ม่ายยยยย)
ข้อดีของการผ่าคลอด
- สามารถกำหนดวันเวลาได้
- ใช้เวลาในการคลอดไม่นาน (บล็อกหลัง แล้วก็ผ่าเลยผ่าเลย ชับๆๆ)
- เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีเชิงกรานแคบ และมีความเสี่ยงหากคลอดธรรมชาติ
ข้อเสียของการผ่าคลอด (ยาวเฟื้อยเลยค่ะ)
- อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากยาชาหรือยาสลบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต (ห่ะ! น่ากลัวจัง)
- ลูกที่คลอดจากแม่ที่ใช้ยาสลบ อาจเกิดการขาดออกซิเจนและตัวเขียว
- ภาวะแทรกซ้อนขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัดสูงกว่า เช่น ไข้ ติดเชื้อ ลิ่มเลือดอุดตัน
- ภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น ปวดท้องเรื้อรัง พังผืด ลำไส้อุดตัน
- ถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ (ใช่สิ หมอ พยาบาล เต็มห้องคลอดเลยค่ะ)
- ใช้เวลาฟื้นตัวหลังคลอดนานกว่า เจ็บแผลนานนนนนนนนกว่า (สังเกต น.หนูเยอะมาก)
- มีแผลเป็นที่หน้าท้อง และมดลูกเป็นแผลขนาดใหญ่
- ทารกมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาการหายใจเมื่อแรกคลอด
- ทารกไม่ได้สัมผัสแบคทีเรียที่ดีในช่องคลอดแม่ ในระยะยาวจะป่วยง่าย
- เพิ่มภาวะแทรกซ้อนหากท้องครั้งต่อไป เช่น รกเกาะต่ำ ตกเลือด
- ท้องแรกอาจจะมีอาการเจ็บท้องมากและยาวนานช่วงใกล้คลอด (เหมือนในหนังแน่เลย บรื๊อออ)
- ทารกอาจได้รับบาดเจ็บ ถ้ามีการใช้เครื่องมือ เช่น คีม หรือ เครื่องดูดสูญญากาศช่วยคลอด (น่าสงสารเนอะ)
- กำหนดเวลาแน่นอนในการคลอดไม่ได้ อันนี้เติมเอง บทจะมาอาจจะเป็นตอนที่ไม่สะดวกต่อการเดินทางไปคลอดก็ได้ คงลุ้นกันน่าดู (ไม่นะ ฉันจะไม่คลอดบนรถแท็กซี่ ม่ายยยยย)
ข้อดีของการผ่าคลอด
- สามารถกำหนดวันเวลาได้
- ใช้เวลาในการคลอดไม่นาน (บล็อกหลัง แล้วก็ผ่าเลยผ่าเลย ชับๆๆ)
- เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีเชิงกรานแคบ และมีความเสี่ยงหากคลอดธรรมชาติ
ข้อเสียของการผ่าคลอด (ยาวเฟื้อยเลยค่ะ)
- อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากยาชาหรือยาสลบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต (ห่ะ! น่ากลัวจัง)
- ลูกที่คลอดจากแม่ที่ใช้ยาสลบ อาจเกิดการขาดออกซิเจนและตัวเขียว
- ภาวะแทรกซ้อนขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัดสูงกว่า เช่น ไข้ ติดเชื้อ ลิ่มเลือดอุดตัน
- ภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น ปวดท้องเรื้อรัง พังผืด ลำไส้อุดตัน
- ถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ (ใช่สิ หมอ พยาบาล เต็มห้องคลอดเลยค่ะ)
- ใช้เวลาฟื้นตัวหลังคลอดนานกว่า เจ็บแผลนานนนนนนนนกว่า (สังเกต น.หนูเยอะมาก)
- มีแผลเป็นที่หน้าท้อง และมดลูกเป็นแผลขนาดใหญ่
- ทารกมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาการหายใจเมื่อแรกคลอด
- ทารกไม่ได้สัมผัสแบคทีเรียที่ดีในช่องคลอดแม่ ในระยะยาวจะป่วยง่าย
- เพิ่มภาวะแทรกซ้อนหากท้องครั้งต่อไป เช่น รกเกาะต่ำ ตกเลือด
ที่มา : theasiaparent.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น